ทัวร์โปแลนด์ 9 วัน
ทัวร์
ยุโรป
ระยะเวลา
9
สายการบิน
วันเดินทาง
27 ตุลาคม – 4 พฤศจิกายน 2562
Hilight

  โปแลนด์ 9 วัน 
     ดินแดนแห่งนกอินทรีขาว
     คราคูฟ-เวียลีชก้า-วรอตซวัฟ-เชสโทโชว่า-ทอรุน-กดานซค์-วอร์ซอ

แผนการท่องเที่ยว
  • Day 1
    1) วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม 2562 กรุงเทพฯ - เฮลซิงกิ - คราคูฟ ( Krakow) (D)
    • 06.50 น.  คณะพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ชั้น 4 เคาน์เตอร์ G  สายการบินฟินน์แอร์ (Finn Air) เจ้าหน้าที่บริษัทให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกในการเช็คอินด้านสัมภาระและเอกสารให้กับท่าน
      09.05 น. ออกเดินทางสู่ เฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ โดยเที่ยวบินที่ AY 142 (09.05-15.00) (ใช้เวลาบิน 10 ชั่วโมง 55 นาที)  
      15.00 น. เดินทางถึงสนามบินเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ เตรียมตัวเพื่อผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรเข้ากลุ่มประเทศยุโรปแบบใช้ Schegen Visa จากนั้นรอเปลี่ยนเครื่อง เพื่อออกเดินทางต่อไปยังเมืองคราคูฟ ประเทศโปแลนด์
      17.55 น. ออกเดินทางสู่ เมืองคราคูฟ ประเทศโปแลนด์ โดยเที่ยวบินที่ AY 1163 (17.55-18.55) (ใช้เวลาบิน 2 ชั่วโมง)
      18.55 น. เดินทางถึงเมืองคราคูฟ ประเทศโปแลนด์ นำท่านรับกระเป๋าสัมภาระเรียบร้อยแล้ว  เชิญพบกับไกด์ท้องถิ่น นำท่านเดินทางมุ่งตรงสู่โรงแรมที่พัก
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารในโรงแรม
      พักผ่อนที่โรงแรม METROPOLO BY GOLDEN TULIP HOTEL, KROKOW  4* หรือเทียบเท่า
  • Day 2
    2) วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 2562 คราคูฟ (B/L/D)
    • เช้า  รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารในโรงแรม
      เริ่มต้นท่องเที่ยวในดินแดนแห่งนกอินทรีขาว ณ  คราคูฟ (Krakow) เมืองหลวงเก่าของโปแลนด์ยาวนานกว่า 500 ปี เมืองนี้ยังคงความสมบูรณ์เพราะไม่ได้ถูกทำลายด้วยการทิ้งระเบิดเช่นเดียวกับกรุงปรากในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้เราได้เห็นงานสถาปัตยกรรมที่งดงามจากช่างฝีมือในยุคเก่า นำท่านเดินชม ย่านเมืองชาวยิว Kazimierz และร้านรวงต่างๆที่ยังคงอนุรักษ์ไว้เพื่อระลึกถึงความเป็นอยู่ของชาวยิว
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้านอาหารท้องถิ่น
      บ่าย นำท่านเดินขึ้น เนินเขาวาเวล (The Wawel) เพื่อชม มหาวิหารวาเวล (Wawel Catherdral) เป็นอาสนวิหารที่สามที่สร้างขึ้นบนตำแหน่งเดียวกันนี้ อาสนวิหารแรกสร้างขึ้นและถูกทำลายในคริสต์ศตวรรษที่ 11 มหาวิหารที่สองที่สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ถูกทำลายโดยเพลิงไหม้ในปี ค.ศ. 1305 การก่อสร้างมหาวิหารที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเริ่มขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 14 สร้างระหว่างปีค.ศ.1320-1364 ตามคำสั่งของบิชอป Nanker ด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิค อาคารภายนอกทาสีสันสดใส มีโดมสีทองที่โดดเด่นตัดกับสีเขียวและสีน้ำตาลแดง มหาวิหารวาเวลมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 900 ปี ในอดีตใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์ทุกพระองค์ในโปแลนด์ รวมถึงเป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์ เชื้อพระวงศ์โปแลนด์ ผู้นำทางศาสนา และวีรบุรุษที่มีชื่อเสียงด้วย ภายในมหาวิหารนั้นประกอบไปด้วยสถาปัตยกรรม ประติมากรรมและจิตรกรรมทางศาสนาที่สวยงามและทรงคุณค่ามากมาย 
        นำท่านชม ปราสาทวังหลวงวาเวล (Wawel Royal Castle) เป็นปราสาทที่ก่อสร้างขึ้นใหม่ในแบบเรอเนอซองส์ โดยกษัตริย์ซิกิซมันด์ที่ 1 หลังจากพระราชวังเดิมแบบกอธิคถูกไฟไหม้ในปีค.ศ. 1499 และถูกไฟไหม้อีกครั้งในศตวรรษที่ 16 ด้านทิศเหนือจึงมีการสร้างใหม่ในแบบบาร็อค ปราสาทแห่งนี้จึงมีสถาปัตยกรรมแบบผสมผสานระหว่างเรอเนสซองส์ยุคกลางและบาร็อค ซึ่งแตกต่างจากปราสาทหรือพระราชวังอื่นๆ ในโปแลนด์ที่นิยมสร้างตามสถาปัตยกรรมแบบใดแบบหนึ่งเท่านั้น ในอดีตเคยเป็นพระราชวังหลวง ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ไปแล้ว 
      นำท่านชม จัตุรัสโบราณ (Market Square) ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรปยุคกลาง ขนาดความกว้าง 4 เฮคเตอร์ สร้างในศตวรรษที่ 14 ประชาชนได้พร้อมใจกันให้จัตุรัสแห่งนี้เป็นสถานที่เฉลิมฉลองพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์โปล อีกทั้งใช้ในพิธีทางศาสนาตั้งแต่ในอดีต จัตุรัสกลางเมืองถูกล้อมรอบด้วยอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ โบสถ์ และพระราชวังที่มีคุณค่า
      และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ รวมไปถึงร้านค้า ร้านอาหาร และร้านของที่ระลึกมากมาย เดินชมอาคารต่างๆที่งดงาม โดยเฉพาะอาคารที่ตั้งอยู่ใจกลางจัตุรัส คือ คล็อธฮอลล์ (Cloth Hall) เป็นอาคารสไตล์เรอเนสซองส์ที่โดดเด่นเป็นเสมือนศูนย์กลางของจัตุรัส ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความรุ่งเรืองในอดีต เพราะอาคารการค้าผ้า (Cloth Hall) ถือว่าเป็นจุดสำคัญหลักทางการค้าในสมัยนั้น  จวบจนกระทั่งทุกวันนี้อ าคารนี้ก็ยังใช้เป็นสถานที่รับรองเชื้อพระวงศ์และเหล่า
      อาคันตุกะของเมือง ปัจจุบันจัตุรัสแห่งนี้จัดอยู่ใน Krakow Historic Centre ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโก้
      ให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมเมื่อปี ค.ศ.1978  แล้วนำท่านเดินชมบริเวณอื่นๆ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน อาทิเช่น นำชม
      ป้อมปราการ Barbican อายุกว่า 600 ปี ปกปักษ์รักษาเมืองที่หลงเหลืออยู่ แนวกำแพงเหมืองเดิมเป็นที่ชื่นชอบของศิลปินที่จะมาแสดงผลงาน และ ประตูทางเข้าเมือง (St.Florian’s Gate) ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ชมแท่นบูชาที่มีชื่อเสียงของ โบสถ์เซ็นต์แมรี่ (Mariacki Church) ที่ทำด้วยไม้แกะสลักมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14 อิสระให้ท่านแวะ ช้อปปิ้งเลือกซื้อหาของที่ระลึกได้ที่นี่
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารท้องถิ่น
      พักผ่อนที่โรงแรม METROPOLO BY GOLDEN TULIP HOTEL, KROKOW  4* หรือเทียบเท่า
  • Day 3
    3) วันอังคารที่ 29 ตุลาคม 2562 คราคูฟ - ค่ายกักกันเอาชวิทส์ - เวียลิซก้า (B/L/D)
    • เช้า  รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารในโรงแรม
      ออกเดินทางสู่ เมืองออสเวียชีม (Oswiecim) <ระยะทางราว 70 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง 30 นาที>
      นำท่านชม พิพิธภัณฑ์ค่ายกักกันเอาชวิทส์ (Auschwitz Concentration Camp) ซึ่งปัจจุบันดูแลโดยรัฐบาลของโปแลนด์ เหตุเริ่มจากเยอรมันเข้ายึดโปแลนด์ได้ในปลายปี ค.ศ.1939 ความต้องการหาค่ายกักกันเชลยศึกต่างๆ จนมาพบสถานที่นี้ ซึ่งรัฐบาลโปแลนด์ตั้งใจก่อสร้างเป็นสถานที่คุมขังนักโทษการเมือง จึงได้ดัดแปลงตามความต้องการของนาซีและเริ่มต้นใช้งานในช่วงมิถุนายน ค.ศ.1940 เป็นต้นมา ท่านจะได้เห็นภาพถ่ายต่างๆ ของค่ายกักกัน รวมทั้งของจริงที่มีการเก็บรักษาไว้ภายในตึกต่างๆ ถึง 20 อาคาร และบรรดาของใช้ต่างๆ ของเชลยชาวยิวที่ถูกหลอกให้มาอยู่ที่นี่ อาทิ กระเป๋าเดินทาง รองเท้า แปรงสีฟัน หวี และเส้นผม ที่มีน้ำหนักรวมกว่า 7 ตัน และนำชมห้องอาบน้ำ ห้องที่พวกนาซีใช้สำหรับกำจัดเชลยโดยใช้แก๊สพิษสังหารหมู่ พร้อมชมภาพยนตร์สั้นๆ ที่ถ่ายทำโดยทหารรัสเซียเมื่อครั้งเข้ายึดค่ายนี้คืนจากเยอรมัน กล่าวกันว่า ณ สถานที่นี้มีคนตายกว่า 1.5 ล้านคน เกือบทั้งหมดเป็นชาวยิว สถานที่แห่งที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปีค.ศ. 1979  
      เมื่อได้เวลาพอสมควร เดินทางกลับสู่เมืองคราคูฟ <ระยะทางราว 70 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง 30 นาที>
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้านอาหารท้องถิ่น
      บ่าย เดินทางสู่ เมืองเวียลิซก้า (Wieliczka) <ระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 30 นาที> 
      อันเป็นที่ตั้งของเหมืองเกลือเก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดของโปแลนด์ เป็นเหมืองใต้ดินที่มหัศจรรย์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และรัฐบาลโปแลนด์ได้ประกาศให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเมื่อปีค.ศ.1994 นำท่านชมโดยเดินลงสู่ใต้ดินของ เหมืองเกลือ
      เวียลิซก้า (Wieliczka Salt Mine) โดยชั้นที่ลึกที่สุดจะลึกถึง 327 เมตร ซึ่งที่มาของเกลือนั้นเกิดตามธรรมชาติมาประมาณ 20 ล้านปี ในอดีตเกลือมีค่าดุจทองคำเพราะใช้ในการถนอมรักษาอาหารมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 องค์การ 
      ยูเนสโก้ได้ขึ้นทะเบียนเหมืองเกลือแห่งนี้ให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกในปีค.ศ.1978 
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ร้านอาหารท้องถิ่น
      พักผ่อนที่โรงแรม GOLDEN TULIP KAZIMIERZ HOTEL, KROKOW  4* หรือเทียบเท่า 
  • Day 4
    4) วันพุธที่ 30 ตุลาคม 2562 คราคูฟ - เชสโทโชว่า - วรอท-ซวัฟ (B/L/D)
    • เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม เช็คเอ้าท์
      ออกเดินทางสู่ เมืองเชสโทโชว่า (Czestochowa)  <ระยะทางประมาณ 140 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 2 ชั่วโมง> 
      นำท่านชมเมืองแห่งศาสนาคริสต์ของชาวโปแลนด์ ซึ่งคนส่วนใหญ่จะนับถือคริสต์ศาสนา นิกายโรมันคาทอลิก นำชม วิหารยัสน่า กอร่า (Jasna Gora) เป็นวิหารที่ประดิษฐานของไอคอน แม่พระมาดอนนาสีดำ (Black Madonna) ซึ่งคนทั่วโลกที่นับถือคริสต์รู้จักเป็นอย่างดีด้วยปาฏิหารย์ที่เล่าต่อกันมา พระรูปศักดิ์สิทธิ์นี้มีจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นภาพที่นักบุญลูกาได้วาดไว้บนแผ่นไม้ที่ต่อกัน 3 แผ่น และไม้ทั้งสามแผ่นนี้ได้มาจากโต๊ะที่ใช้อยู่ในครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ (เยซู มารีอา โยเซฟ) ที่เมืองนาซาเร็ธ ตามตำนานเชื่อกันว่าเป็นโต๊ะที่พระเยซูเจ้าและนักบุญโยเซฟใช้ทำงานช่างไม้และใช้เป็นโต๊ะอาหารของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ด้วย ในปีค.ศ. 1382 ซึ่งเป็นสมัยของเจ้าชาย Ladislaus แห่งรูเธเนีย พวก Tartar ได้โจมตีพระราชวังที่ประดิษฐานพระรูปและธนูดอกหนึ่งได้แทงทะลุพระรูปบริเวณพระศอ เจ้าชายจึงได้นำพระรูปไปประดิษฐานที่ Mount of Light (Jasna Gora) ในประเทศโปแลนด์ ในปีค.ศ.1430 พระรูปถูกทำลายบางส่วนโดยกลุ่มโจรพวกฮัสไซท์จากแคว้นโบฮิเมียและโมราเวียที่ได้เข้ามารุกรานเพื่อหวังจะปล้นเอาสมบัติล้ำค่า แต่เมื่อค้นหาทรัพย์สมบัติไม่ได้ตามที่ต้องการ จึงได้ปล้นเอาศาสนภัณฑ์ที่ใช้ ในพิธีกรรมไป แล้วดึงไอคอนแม่พระมาดอนนาสีดำลงมาจากแท่นบูชาเพื่อแกะเอาอัญมณีและเครื่องทองที่ประดับพระรูปไปจนหมด เท่านั้นยังไม่พอ พวกโจรยังได้ใช้ดาบกรีดพระพักตร์จนปรากฏเป็นทางยาวตลอดแก้มขวาแล้วทุบพระรูปจนแตกหัก แต่ก่อนที่พวกโจรจะทำลายได้มากกว่านั้นก็ได้ล้มลงสิ้นใจด้วยความเจ็บปวดทรมาน รอยกรีดที่พระพักตร์ปรากฏเป็นสีแดงคล้ายรอยเลือดเห็นได้จนทุกวันนี้ ส่วนตัวโบสถ์สร้างในศตวรรษที่ 14 ในปีค.ศ.1382  โดยการบริจาคที่ดินของท่านดยุคแห่งโอปอล พร้อมทั้งได้มอบรูปที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า  “นักบุญมาดอนนาสีดำ” ซึ่งในขณะที่มอบให้ภาพนี้ก็มีอายุหลายร้อยปี จากการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์พบว่าเป็นรูปในยุคไบเซนไทน์ ตัววิหารได้รับการต่อเติมหลายครั้งในหลายศตวรรษต่อมา  วิหารยัสนา กอราไม่ได้เป็นเพียงแค่ศาสนสถานที่สำคัญที่สุดของชาวโปล แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อเอกราช ซึ่งคุณพ่อออกัสตีนนำผู้คนต่อต้านการยึดครองของสวีเดนสำเร็จในปี ค.ศ.1665 จึงไม่น่าแปลกที่จะได้เห็นนักแสวงบุญหลายล้านคนมาแสวงบุญที่วิหารแห่งนี้ด้วย                                                     
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้านอาหารท้องถิ่น         
      บ่าย ออกเดินทางสู่ เมืองวรอท-ซวัฟ (Wroclaw) <ระยะทางประมาณ 190 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 3 ชั่วโมง>                                                                                                             
      เมืองวรอท-ซวัฟ เป็นเมืองใหญ่ที่สุดทางฝั่งตะวันตกของโปแลนด์ เป็นเมืองที่มีจุดเด่นที่ความ “ใหญ่” สังเกตได้จากอาคารและสถานที่สำคัญต่างๆในเมืองนี้ล้วนแล้วแต่มีขนาดสูงใหญ่ ทำให้เป็นจุดเด่นของเมืองนี้ ตั้งแต่สถานีรถไฟหลัก 
      ที่มีพื้นที่กว้างขวางและสวยงาม รวมไปถึงย่านเมืองเก่า ที่นับได้ว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในโปแลนด์  เสน่ห์ของเมืองนี้ คือเป็นเมืองที่มีแม่น้ำหลายสายไหลผ่าน แม่น้ำสายสำคัญชื่อว่า Oder  จึงทำให้มีสะพานข้ามแม่น้ำจำนวนมากกว่า 100 สะพาน จนได้รับขนานนามว่าเป็น “เมืองแห่งสะพาน” (The City of Bridges) ตัวสะพานที่มีความสวยงามและโดดเด่น
      ชื่อว่า Tumski เป็นสะพานเหล็กที่เชื่อมระหว่างฝั่ง Old town กับเกาะฝั่งตรงข้ามที่มีโบสถ์ (Cathedral Island) สะพานนี้มีความพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ ตลอดสองข้างทางของราวสะพาน มีกุญแจคู่รัก (Love locks) คล้องอยู่จำนวนมาก สิ่งเหล่านี้ก็ถือเป็นความสวยงามอย่างหนึ่งที่แต่งแต้มให้เมืองนี้ดูมีชีวิตชีวาและงดงามยิ่งขึ้น 
      ในส่วนศิลปะและสถาปัตยกรรมของเมืองนี้จะมีความผสมผสานหลายแบบ เนื่องจากเคยเป็นดินแดนของหลากหลายประเทศมาก่อน เช่น ออสเตรีย ปรัสเซีย และเยอรมัน หลายคนที่เคยไปเยอรมันมาแล้วจะบอกว่าเมืองนี้มีส่วนคล้ายกับลักษณะของหลายเมืองในเยอรมันเช่นกัน
      เย็น รับประทานอาหารเย็น ณ ห้องอาหารในโรงแรม 
      พักผ่อนที่โรงแรม GRAND CITY HOTEL, WROCLAW  4* หรือเทียบเท่า 
  • Day 5
    5) วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม 2562 วรอท-ซวัฟ - ทอรุน (B/L/D)
    • เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม เช็คเอ้าท์
      นำท่านชมอดีตเมืองหลวงแห่งแคว้นซิลิเซียที่เคยถูกครอบครองโดยราชวงศ์ต่างๆ ก่อนถูกควบรวมกับโปแลนด์ในปีค.ศ.1945 ต่อมาชาวโปลจากฝั่งตะวันออกหลั่งไหลเข้ามาอยู่ที่วรอท-ซวัฟเป็นจำนวนมาก และได้นำวัฒนธรรมหลายอย่างมาเผยแพร่ในปีค.ศ.1980 ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำแรงงานได้ไปรวมตัวกันสไตรค์ที่เมืองกดานคซ์ นำโดย เลค วาเวนซา 
      ต่อมาวรอท-ซวัฟถูกตั้งเป็นเมืองศูนย์กลางการต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์                                             
      นำท่านชม ออสตรอฟ ทูมสกี้ (Ostrow Tumski) หรือเกาะมหาวิหาร สร้างโดยบิชอปคนแรกแห่งแคว้นซิลิเซียในสไตล์โกธิค โดยสร้างก่อนการสร้างพระราชวัง จึงได้กลายเป็นศูนย์กลางทางศาสนาจนถึงปัจจุบัน เดินชม ย่านเมืองเก่า ซึ่งมีอาคารสถาปัตยกรรมโกธิคและอาร์ตนูโวสีสันสดใส และคึกคักด้วยร้านค้าที่รอต้อนรับนักท่องเที่ยว                                                                                                                                               
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้านอาหารท้องถิ่น        
      แล้วเดินทางต่อสู่ เมืองทอรุน (Torun)  <ระยะทางประมาณ 290 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 4 ชั่วโมง> เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นเมืองยุคกลางที่ยังคงอนุรักษ์ไว้อย่างดี ทำให้เป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในโปแลนด์ โดยองค์การ
      ยูเนสโก้ได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกเมื่อปีค.ศ.1997 ชื่อของเมืองทอรุนจึงปรากฏอยู่ในแผนที่เมืองท่องเที่ยวติดอันดับในทวีปยุโรปโด่งดังไม่น้อยไปกว่าเมืองคราคูฟ (Krakow)  เมืองพอซนัน (Poznan) และ เมืองวรอท-ซวัฟ (Wroclaw) ภายในตัวเมืองมีอนุสาวรีย์ทางประวัติศาสตร์อันสวยงามอยู่มากมาย สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดเมื่อท่านมาเยือนทอรุน
      คือ ทิวทัศน์สวยงาม อันเป็นผลมาจากการอนุรักษ์รักษาเป็นอย่างดีของสถาปัตยกรรมและอาคารเก่าแก่  ซึ่งความสำเร็จนี้ส่วนหนึ่งมาจากการควบคุมดูแลภายใต้คณะศิลปกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัย Copernicus  เมืองทอรุนสร้างโดยอัศวินเยอรมัน คริสเตียนนิกายทูทอนิค (Teutonic Order) เฮอมานน์ ฟอน บาล์ค โดยสร้างเป็นป้อมในกลางศตวรรษที่ 13 (ค.ศ.1231) เพื่อเป็นศูนย์กลางการพิชิตดินแดนยุโรปเหนือและตะวันออก และเปลี่ยนให้คนในพื้นที่รับศาสนาคริสต์เป็นศาสนาท้องถิ่น ด้วยที่มั่นอันแข็งแรงเป็นแรงดึงดูดให้ชาวโปลและชาวเยอรมันแห่กันมาอยู่ในป้อมแห่งนี้ และต่อมาในปี ค.ศ.1280 ก็ได้พัฒนากลายไปเป็นพันธมิตรการค้าของกลุ่มฮัมเซียติค ในอีกศตวรรษต่อมาก็ปรากฎว่าเมืองนี้ร่ำรวยจากการค้า สังเกตได้จากบ้านเรือนถูกสร้างขึ้นมามากในคริสต์ศตวรรษที่ 14-15 รวมทั้งบ้านของนักดาราศาสตร์ที่มีชื่อเสียง นิโคลาส โคเปอร์นิคุส เป็นตึกสูง 5 ชั้นประดับหน้าบ้านด้วยลวดลายงดงาม ย่านเมืองเก่าทอรุนถูกบันทึกลงในรายการ 7 
      สิ่งมหัศจรรย์ของโปแลนด์ในปีค.ศ. 2007 และเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิคได้จัดอันดับให้ย่านเมืองเก่าทอรุน (Torun Old Town) ตลาด (Torun Old Market) และศาลาว่าการ (Town Hall) เป็นหนึ่งใน 30 สถานที่ที่สวยงามที่สุดในโลกอีกด้วย
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารในโรงแรม                                                                                                                                                            
              พักผ่อนที่โรงแรม COPERNICUS HOTEL, TORUN 4* หรือเทียบเท่า

  • Day 6
    6) วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2562 ทอรุน - กดานซค์ (B/L/D)
    • เช้า  รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม เช็คเอ้าท์
      นำท่านเที่ยวใน เมืองทอรุน นำท่านชม ศาลาว่าการ (Town Hall) หนึ่งในอาคารศาลากลางแบบกอธิคที่ได้รับยกย่องว่าสวยที่สุดในยุโรป อาคารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกราวปีค.ศ.1274 และได้มีการขยับขยายและสร้างใหม่อีกครั้งในช่วงระหว่างปีค.ศ.1391-1399 ภายในมีการจัดแสดงแกลลอรี่ที่เกี่ยวกับศิลปะโกธิค และนิทรรศการต่างๆ เกี่ยวกับเมืองทอรุน จากนั้นมุ่งหน้าไปยัง โบสถ์พระวิญญาณ (Holy Spirit Church) ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับศาลาว่าการ เป็นโบสถ์ที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ในสไตล์บาร็อค ปัจจุบันเป็นอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะมาเยี่ยมชมเสมอๆ ต่อด้วยนำท่านไปชมความงดงามของ  โบสถ์เซ็นต์แมรี่ (St. Mary’s Church) สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 เป็นหนึ่งในอาคารสิ่งก่อสร้างที่มีความโดดเด่นทางด้านศิลปะและสถาปัตยกรรมมากแห่งหนึ่งของโปแลนด์ และยังถือว่าเป็นหนึ่งในโบสถ์ที่มีห้องโถงสูงที่สุดในยุโรปกลางอีกด้วย จากนั้นอิสระให้ท่านลัดเลาะไปตาม ย่านเมืองเก่าทอรุน เพื่อไปชมเหล่าอาคารบ้านเรือนในสมัยยุคกลางที่ยังคงได้รับการอนุรักษ์เอาไว้จนถึงปัจจุบัน ซึ่งในอดีตถูกใช้เป็นที่อยู่อาศัยของบรรดาเหล่าขุนนาง โดยอาคารแต่ละหลังนั้นมีประวัติความเป็นมาที่ค่อน ข้างแตกต่างกัน ได้รับการตกแต่งอย่างงดงาม ไม่ว่าจะเป็นแบบโกธิคหรือบาร็อค ซึ่งล้วนแล้วแต่ได้รับการประดับประดาด้วยลายปูนปั้นและหินแกะสลักที่สวยงาม    
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้านอาหารท้องถิ่นแล้วเดินทางต่อไปยัง เมืองกดานซค์ (Gdansk) <ระยะทางประมาณ 170 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 1.5 ชั่วโมง>  เมืองศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และแหล่งท่องเที่ยวเมืองนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลโปแลนด์ โดยมีการร่างต้นฉบับแบบเมืองไว้ตั้งแต่ปีค.ศ.1343 ชาวโปแลนด์จึงได้สร้างเมืองขึ้นใหม่ตามแบบสถาปัตยกรรมในร่างต้นฉบับเมืองเดิมและเป็นผลสำเร็จหลังสงครามโลกครั้งที่ 2                                                                                                             
      บ่าย นำท่านชม เมืองกดานซค์ (Gdansk) โดนเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอย  ชมโบสถ์เซ็นต์แมรี่ (Church of St. Mary) ซึ่งเป็นโบสถ์ที่ก่อสร้างด้วยอิฐที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นสถาปัตยกรรมโบราณตั้งแต่ยุคปีค.ศ.1500 ตั้งตระหง่านเด่นอยู่ในย่านเมืองเก่าของกดานซค์ แล้วจากนั้นเดินชมตลาด ย่านการค้าจนถึงทางเข้าประตูเมืองเก่า (Green Gate) ท่านจะพบกับถนนหลักของกดานซค์ Dlugi Targ ถนนที่มีเสน่ห์ที่สุดของยุโรปตอนกลางได้ที่นี่ เดินเข้าสู่ ย่านเมืองเก่าของกดานซค์  บริเวณประตูทางเข้าจะมีภาพเมืองก่อนและหลังสงครามโลกให้ท่านได้ชม ถัดมาบนถนนคือ ศาลาว่าการเมืองกดานซค์ (Main Town Hall) หอคอยที่สูงที่สุดในเมืองกดานซค์ คือสูงถึง 81.5 เมตร สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิคและเรอเนสซองส์  บริเวณลานกลางเมืองเก่า ท่านจะพบกับน้ำพุรูปเทพโพไซดอน (Neptune Fountain) หากมีเวลาเหลือ อิสระให้ท่านเดินเล่นเก็บภาพอาคารบ้านเมืองที่เรียบร้อยและสวยงาม       
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารในโรงแรม                                                                                                                                                            
              พักผ่อนที่โรงแรม MERCURE STARE MIASTO HOTEL, GDANSK  4* หรือเทียบเท่า        
  • Day 7
    7) วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2562 กดานซค์ - มัลบอร์ค - กรุงวอร์ซอ (B/L/D)
    • เช้า  รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม เช็คเอ้าท์
      ออกเดินทางสู่ เมืองมัลบอร์ค (Malbork) <ระยะทางประมาณ 67 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง> เพื่อชมปราสาทมัลบอร์ค ปราสาทยุคกลางสไตล์โกธิคสร้างด้วยอิฐที่ใหญ่ที่สุดในโลก
      นำท่านชม ปราสาทมัลบอร์ค (Malbork Castle) ป้อมยุคกลางที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป สร้างในศตวรรษที่ 13 แต่เดิมเป็นวิหารของนักรบศาสนาคริสต์ นิกายทูทอนิค โดยมีอาคารเพียง 2 ปีก คือปีกทิศเหนือกับทิศตะวันตก หลังปีค.ศ.1309 นิกายดังกล่าวเริ่มเสื่อมลง หลายป้อมทางด้านตะวันออกถูกโจมตีเสียหาย ทำให้ผู้นำนิกายดังกล่าวได้ตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะย้ายที่พักชั่วคราวจากเวนิสไปยังแคว้นรัสเซียซึ่งลัทธิดังกล่าวยังมีอิทธิพลสูงอยู่ ดังนั้น เมืองมัลบอร์คจึงได้รับคัดเลือกให้เป็นเมืองหลวงลัทธิดังกล่าว เนื่องจากที่ตั้งอยู่ใจกลางเขตอิทธิพล  ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่มีความปลอดภัยสูง ตัววิหารได้ถูกต่อเติมให้เป็นปราสาทในช่วง 20 ปีต่อมา รวมพื้นที่ทั้งสิ้น 20 เฮคเตอร์ (12,500 ไร่) ตัวปราสาทถูกแบ่งออกเป็น 3 พื้นที่ คือ ปราสาทบน ปราสาทกลางและปราสาทล่าง ซึ่งทั้งสามปราสาทแยกกันโดยอิสระ มีระบบป้องกันตนเองอย่างสมบูรณ์ มีระบบน้ำอิสระแยกขาดจากกัน มีที่เก็บอาหารแยกจากกัน สามารถป้องกันตนเองได้นานหลายปีหากถูกปิดล้อม แต่เนื่องจากนิกายดังกล่าวได้พ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปีค.ศ.1410 ที่กรุนวาลด์ ทำให้มีการเซ็นต์สัญญาสงบศึกในเวลาต่อมาและถูกบังคับให้ออกจาก
      มัลบอร์คในปีค.ศ.1466 ตัวปราสาทถูกทอดทิ้งตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และเสียหายไปตามกาลเวลา แต่ได้รับการบูรณะในศตวรรษที่ 19-20 แต่ก็เสียหายอีกจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้รับการบูรณะใหม่อีกครั้งดังที่เราเห็นกันอยู่ปัจจุบัน และด้วยความยิ่งใหญ่และสำคัญทางด้านศิลปะในยุคกลาง ทำให้ได้รับการคัดเลือกให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้ในปีค.ศ.1997
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้านอาหารท้องถิ่น 
      บ่าย เดินทางเข้าสู่เมือง วอร์ซอ (Warsaw) <ระยะทางประมาณ 310 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 5 ชั่วโมง> เป็นเมืองที่มีอายุเกือบ 700 ปี แต่ก็ยังถูกจัดว่าเป็นเมืองใหม่สำหรับประวัติศาสตร์ของชาติโปแลนด์ กรุงวอร์ซอได้เกิดขึ้นมาจากเดิมที่เป็นป่ามาโซเวียน (Mazovian) เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มขึ้นในปีค.ศ.1939 ชาวเมืองได้ร่วมกันปกป้องประเทศไว้อย่างกล้าหาญ จนในที่สุดก็เกิดการจลาจลและการก่อความไม่สงบขึ้นในโปแลนด์ การพยายามต่อต้านความไม่สงบถูกปราบปรามอย่างโหดร้ายป่าเถื่อน กองกำลังทหารนาซีได้เผาทำลายล้างอาคารต่างๆ ในเมืองหลวงไปถึง 96 เปอร์เซ็นต์ หลังสงครามจบสิ้น ชาวโปลได้ช่วยกันบูรณะซ่อมแซมก่อสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจกับความเสียสละของประชาชน ทำให้กรุงวอร์ซอกลับมาเป็นเมืองเก่าในประวัติศาสตร์ที่สวยงามดังเดิม 
      ค่ำ บริการอาหารค่ำ ณ ร้านอาหารท้องถิ่น
      พักผ่อนที่โรงแรม NOVOTEL CENTRUM HOTEL 4*, WARSAW  หรือเทียบเท่า
                                                                                              
  • Day 8
    8) วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน 2562 กรุงวอร์ซอ - เฮลซิงกิ (B/L/-)
    • เช้า  รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม 
      นำชม กรุงวอร์ซอ เริ่มต้นเดินทางไปยัง สวนสาธารณะเลเซ็นกิ (Lazienki RoyalPark) เพื่อชม อนุสาวรีย์ เฟรเดอริค โชแปง (Chopin's Monument) รูปปั้นของคีตกวีผู้มีชื่อเสียงระดับโลกที่ตั้งตระหง่านอยู่ในสวนสาธารณะ ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของสวนในเขต พระราชวังเลเซ็นกิ (Lazienki Palace) พระราชวังแห่งนี้ได้เคยเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งเสด็จประพาสกรุงวอร์ซอ เมื่อปีค.ศ.1897 นำท่านชม พระราชวังบนน้ำ (Palace on water) อาคารต่างๆ ในสวนแห่งนี้
        จากนั้นนำท่านไปชม พระราชวังวิลานูฟ (Wilanow Palace) หรือพระราชวังฤดูร้อนของกษัตริย์ยอนที่ 3 (Jan III Sobieski) ผู้ทรงครองราชย์ระหว่างปีค.ศ.1674-1696 ทรงบัญชาให้สร้างพระราชวังวิลานูฟขึ้น โดยสถาปนิกชาวอิตาลี ผู้สร้างได้รับแรงบันดาลใจจากพระราชวังแวร์ซายส์แห่งฝรั่งเศส ผู้ที่ทำให้พระราชวังวิลานูฟเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นในหมู่ศิลปินและประชาชนทั่วไปคือ พระเจ้าสตานิสลอฟ โคสต์ก้า โปโตสกี้ (Stanislow Kostka Potoski) เจ้าของวังรุ่นต่อๆ มาที่ได้เปิดส่วนหนึ่งของพระราชวังเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะในปีค.ศ.1805 พร้อมด้วยชิ้นงานศิลปะสะสม ทั้งภาพเขียนและงานประติมากรรมที่บางส่วนรวบรวมจากของพระเจ้ายอนที่ 3 และพระเจ้าสตานิสลอฟ ออกุสต์ โปเนียตอฟสกี้ กษัตริย์องค์สุดท้ายของโปแลนด์ พระองค์เป็นกษัตริย์นักสะสมผู้โปรดงานศิลปะมากกว่าการสู้รบ ภาพเขียนที่จัดแสดงภายในพระราชวังส่วนใหญ่จึงเป็นของสะสมของพระองค์เช่นกัน
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้านอาหารท้องถิ่น        
      บ่าย นำท่านนั่งรถผ่านชมจุดสำคัญๆ ของกรุงวอร์ซอ อาทิเช่น ถนน Nowy Swiat ซึ่งเป็นถนนที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงวอร์ซอ หลังจากนั้น นำท่านเข้าสู่ถนนสายประวัติศาสตร์ Krakowskie Przedmiescie Street สายเดียวกับเส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน สองข้างถนนประกอบไปด้วย โบสถ์เซ็นต์  แอนนา (St.Anna Church) สร้างด้วยสถาปัตยกรรมโกธิคในช่วงศตวรรษที่ 16  มหาวิทยาลัยวอร์ซอ (University of Warsaw) มหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในกรุงวอร์ซอ และนอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของพระราชวังต่างๆ ตึกของรัฐบาล ร้านอาหาร ผับ บาร์ มีต้นไม่ร่มรื่นยืนต้นให้เห็นได้ทั่วไป  
      นำเดินชม เมืองเก่าวอร์ซอ (Warsaw Old Town) ซึ่งประกอบไปด้วยปราสาทแบบโกธิคและอนุสาวรีย์ของกษัตริย์
      ซิกิซมันด์  ย่านประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองและมีความโดดเด่นมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศโปแลนด์ 
      นำท่านไปยัง จัตุรัสปราสาท (Castle Square) ซึ่งรูปร่างที่เราเห็นกันปัจจุบันเกิดขึ้นหลังจากทุบกำแพงเมืองในศตวรรษที่19  ตรงกลางเป็นอนุสาวรีย์กษตัริย์ซิกิซมันด์ที่ 3 ที่ทรงย้ายเมืองหลวงจากเมืองคราคูฟมาสู่กรุงวอร์ซอ เมื่อท่านเดินเข้ามาที่จัตุรัสจะเห็น พระราชวังหลวง (Royal Castle) ปราสาทสีแดงสดที่ดูใหม่เพราะเพิ่งถูกสร้างขึ้นมา เขตเมืองในแถบนี้โดนระเบิดจนแทบจะเหลือแต่ซาก ในการสร้างเมืองขึ้นมาใหม่นี้ ชาวโปลได้ใช้ภาพกรุงวอร์ซอ 22 มุมมองโดยจิตรกรเอกชาวอิตาเลียน เบอร์นาโด คานาเล็ตโต เป็นต้นแบบในการบูรณะจนกลับมาเป็นเมืองหลวงที่สวยงาม ไม่ไกลกันนักจะเป็น วิหารเซ็นต์จอห์น (St.John Cathedral) หนึ่งในวิหารคาทอลิคที่เก่าแก่ที่สุดของกรุงวอร์ซอ ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14  
      อิสระให้ท่านชม ย่านตลาดเก่า (Old Town Market Place) ย่านท่องเที่ยวที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และมีความเก่าแก่ที่สุด โดยอาคารส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13 ที่ย่านตลาดเก่านี้จะมีจัตุรัสที่มีรูปปั้นนางเงือกถือโล่ห์กับดาบ (Statue of the Mermaid) ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า เดิมมีนางเงือก 2 ตัวเป็นพี่น้องกันว่ายน้ำเล่น ตัวหนึ่งว่ายไป
      ที่เดนมาร์กส่วนอีกตัวว่ายมาที่โปแลนด์แล้วโดนชาวประมงจับได้ และถูกนำมาแสดงโชว์จนมีชายคนหนึ่งมาช่วยไว้ นางเงือกต้องการตอบแทนบุญคุณจึงสัญญาว่าจะออกมาช่วยปกป้องเมืองให้ปลอดภัย รูปปั้นนางเงือกนี้จึงเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของกรุงวอร์ซอ หากไม่เหนื่อยจนเกินไป แนะนำให้ท่านเดินไปชมกลุ่มสิ่งก่อสร้างที่เป็นผลงานสถาปัตยกรรมจากยุคกลาง อาทิเช่น กำแพงเมืองเก่า (City Walls) ซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่จนถึงปัจจุบัน ไม่ไกลจากกันจะเป็นที่ตั้งของ ป้อมวอร์ซอ (Warsaw Barbican) ด่านปราการรูปครึ่งวงกลมหรือป้อมปราการแห่งประวัติศาสตร์ที่ครั้งหนึ่งเคยล้อมรอบกรุงวอร์ซอเอาไว้ โดยตัวป้อมนี้ตั้งอยู่ระหว่างย่านเมืองเก่า (Old Town) และย่านเมืองใหม่ (New Town)
      18.00 น. เดินทางถึงสนามบินวอร์ซอร์ เฟรเดอริก โชแปง เพื่อเตรียมตัวเช็คอินสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ
      20.20 น. ออกเดินทางสู่ เฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ โดยเที่ยวบินที่ AY 1146 (20.20-23.05) (ใช้เวลาบิน 1 ชั่วโมง 45 นาที)  
      23.05 น. เดินทางถึงสนามบินเฮลซิงกิ รอเปลี่ยนเครื่อง 
  • Day 9
    9) วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2562 กรุงเทพฯ (สนามบินสุวรรณภูมิ)
    • 00.45 น. ออกเดินทางสู่ กรุงเทพฯ โดยเที่ยวบินที่ AY 143 (00.45-15.45) (ใช้เวลาบิน 10 ชั่วโมง) 
      15.45 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ พร้อมความประทับใจ

      ***************
Top